คนทำธุรกิจส่วนใหญ่ เริ่มต้นจากเงินตัวเอง จากเล็กๆ จนค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ การบริหารเงิน ทำรายรับรายจ่าย ก็ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญสักเท่าไร  แต่เวลาผ่านไป การโตขึ้นของธุรกิจ อาจจะสวนทางกันกับยอดเงินในกระเป๋า ด้วยหลายเหตุผล หนึ่งในนั้น อาจจะมาจากการ บริหารเงินผิดพลาด ใช้เงินปนกันมั่วไปหมด ทั้งเงินส่วนตัว และเงินหมุนเวียนในธุรกิจ

วันนี้เราเลยอยากจะมาแบ่งปันวิธีที่เราใช้แล้วมันได้ผลดีมาแชร์ให้เพื่อนๆ คนทำธุรกิจ ที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหา แยกกระเป๋าเงินส่วนตัวกับธุรกิจไม่ได้ มาให้ลองนำไปปรับใช้กันดู

ทำไมเราต้องแยกกระเป๋า ก็เงินเราทั้งหมดไม่ใช่หรอ?

เราต้องมาทำความเข้าใจใหม่ เกี่ยวกับเจ้าของเงินกันก่อน เพื่อให้เรามองเห็นภาพได้ชัดมากขึ้น  คำถามที่ว่า ทำไมต้องแยกกระเป๋า ก็เงินเราหมดไม่ใช่หรอ ผมอยากให้เพื่อนๆ มองแบบนี้ครับ 

เมื่อก่อน ถ้าเราไม่ทำธุรกิจเอง เราก็อาจจะไปเป็นลูกจ้างของธุรกิจไหนสักที่ และได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนกลับมาถูกไหมครับ

ในทางเดียวกัน เรามาทำธุรกิจเอง ก็หมายความว่า เราย้ายกลับมาเป็นลูกจ้างของธุรกิจเราเอง  ดังนั้น เราก็ควรได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกัน

แต่อันที่จริง ก็คือ เงินธุรกิจ ใช้สำหรับหมุนเวียน เพื่อให้ธุรกิจดำเนินกิจการต่อได้และเกิดผลกำไร  เงินส่วนตัวก็คือ เงินที่เราใช้จ่ายส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ถ้าเราแยกจากกันได้ จะทำให้การบริหารเงินขั้นต้น ทำได้ง่ายไม่ปวดหัวครับ

หลายๆคนที่ทำไม่ได้ ก็ติดตรงที่แยกกระเป๋าไม่ได้นี่แหล่ะ

ไปเริ่มต้นกัน…แค่ 2 Step ง่ายๆ

• จัดการบัญชี 
  วางแผนไว้เลย ว่าเราจะใช้บัญชีเพื่อรับเงินธุรกิจ กี่บัญชี บัญชีส่วนตัวใช้กี่บัญชี เราต้องทำให้ชัดเจน เพื่อให้ง่าย เวลาเราเลือกรับหรือจ่ายเงิน เราจะได้ใช้บัญชีที่ถูกต้อง ในการรับจ่าย
  
  สำหรับธุรกิจ
  เปิดบัญชีในนามธุรกิจได้เลย หรือจะใช้บัญชีส่วนตัวด้วย ในแอพก็สามารถตั้งชื่อเรียกของบัญชีได้ ให้เราตั้งชื่อให้ชัดเจนเลยว่าของธุรกิจ เราจะได้ไม่ใช้จ่ายมั่ว
  
  สำหรับส่วนตัว
  เราจะใช้บัญชีเดียวง่ายๆ ไปเลยก็ได้ ถ้าเราบริหารเงินได้อยู่แล้ว แต่ถ้ายังลังเล ก็แยกบัญชีไปเลย  ทุกวันนี้ เราสามารถเปิด บัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ได้ง่ายๆ บนแอพอยู่แล้ว เราอาจจะแยกเป็นบัญชีต่างๆ สำหรับส่วนตัว 3 บัญชีตามนี้ก็ได้
  
  - เงินสำรองฉุกเฉิน
  เงินที่ควรเต็มอยู่เสมอ และควรมีก่อนกระเป๋าอื่นๆ
  สมมติ เรามีรายจ่ายเดือนละประมาณ 20,000 บาท เราน่าจะต้องมีอย่างน้อยๆ 3เท่า สำรองไว้ เผื่อฉุกเฉิน ตกงานหรือ มีเรื่องต้องใช้เงิน กระเป๋านี้ จะได้ดึงออกมาใช้ได้เลยโดยที่ไม่กระทบกับการใช้ชีวิตของเรามากนัก และไม่ไปกระทบกับเงินลงทุนของเราด้วย
  20,000x3 = 60,000 บาท
  
  - เงินเดือนใช้จ่ายทั่วไป
  เป็นกระเป๋าเงินหลักที่ใช้รับเงินเดือนและใช้จ่ายประจำวันทั่วๆ ไป เมื่อเราได้รับเงินเดือนเข้ามา เราอาจจะโอนเข้าไปกระเป๋าเงินสำรองฉุกเฉินให้เต็มไว้ก่อน แล้วแบ่งโอนไปบัญชีเงินออม หรือลงทุน ส่วนที่เหลือ ก็คือ เงินที่เราจะใช้จ่ายประจำวัน
  
  - เงินออม/ลงทุน
  เป็นเงินที่เหลือจากเงินเดือนและเงินสำรองฉุกเฉิน เงินบัญชีนี้ถือว่าเป็นเงินเย็น ที่เราจะนำไปลงทุนต่อ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น
  
  พอเราจัดการบัญชีและทำความเข้าใจว่าเงินแต่ละบัญชีไว้ใช้ทำอไร หน้าที่เราก็คือ ทำตามวัตถุประสงค์นั้นให้ได้

• รายรับรายจ่าย
  การทำรายรับรายจ่าย สำคัญมากๆ ทั้งธุรกิจ และส่วนตัว เพราะจะทำให้เรารู้ที่มาที่ไปของเงินทุกบาท ยิ่งไปกว่านั้นคือ ทำให้เรามีวินัยในการใช้จ่ายมากขึ้นนั่นเอง
  
  ชวนให้คิด
  สำหรับส่วนตัว ถ้าเราบริหารเงินได้ดีตั้งแต่รับเงินเข้ามา การทำรายรับรายจ่ายอาจจะ ไม่ต้องทำละเอียดทุกๆวันก็ได้ เพราะเราได้แบ่งเงินเป็นก้อนๆไว้ ตั้งแต่ได้รับเงินเข้ามาอยู่แล้ว
  เช่น
  
  เงินเดือน 30,000 บาท รับเข้ามา เราโอนแบ่งเข้าบัญชีแต่ละบัญชีตามวัตถุประสงค์การใช้จ่ายไว้ให้เรียบร้อยเลย
  - เงินสำรองฉุกเฉิน -10,000
  - เงินออมเงินลงทุน - 5,000
  - เงินเดือน/ใช้จ่ายทั่วไป -15,000
  
  แบบนี้ เราก็จะรู้แล้ว ว่าเราสามารถใช้เงินก่อน 15,000 บาทได้อย่างอิสระ เพราะถูกแบ่งเอาไว้แล้วสำหรับใช้จ่ายทั่วไปประจำวัน
  แต่…. ถ้าใช้ยังไง ก็ไม่พอ ใช้แล้วทำไมรู้สึกเงินหายไปเร็วมาก แนะนำให้ทำรายรับรายจ่ายก่อน อย่างน้อยๆ ก็ช่วงแรกๆ เพื่อให้เราได้เห็นถึงรายจ่ายที่แท้จริง ว่าเราจ่ายไปกับค่าอะไรบ้าง เพื่อให้เราจัดการกับรายจ่ายกลุ่มนั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้นได้ในอนาคต
  
  สำหรับธุรกิจ
  เป็นปกติอยู่แล้ว ที่ต้องทำรายรับรายจ่าย เพื่อให้เห็นตัวเลขอย่างชัดเจน ในการดำเนินธุรกิจ ว่า เงินที่ถูกจ่ายออกไปในแต่ละเดือน ได้รับเข้ามาเท่าไร ผลกระกอบการเดือนนั้นๆ เป็นบวกหรือติดลบนั่นเอง